Customer Reviews

ยูเจนิดิส เด็กหนุ่มผู้ถูกตั้งชื่อตามนามของเทพแห่งโจร แน่นอนล่ะว่าเจ้าตัวก็ได้เป็นโจรตามชื่อของตน เด็กหนุ่มผู้โอ้อวดไว้ว่าตนนั้น “สามารถขโมยได้ทุกอย่าง” ได้เป็นที่ต้องตาของราชครูที่ปรึกษาของกษัตริย์แห่งซูนิส หนึ่งในอาณาจักรที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ด้วยองค์กษัตริย์แห่งซูนิสนั้นต้องการจะได้มาซึ่ง “ของขวัญแห่งฮามิอาทิส” ที่ซุกซ่อนอยู่ในแห่งใดแห่งหนึ่งของดินแดนนามแอตโทเลีย ประเทศข้างเคียงของซูนิส เพื่อยกตัวเองเป็นเจ้าปกครองเหนืออธิปไตยแห่งเอ็ดดิส อาณาจักรกลางขุนเขาที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านอีกแห่งหนึ่งของตน ตามตำนานที่สืบทอดกันมานั้นจำเป็นต้องอาศัยจอมโจรมากฝีมือจึงจะนำสมบัติแห่งอามิสเทริสออกมาจากการปกปักษ์ของเทพเจ้าได้ การเดินทางอันเป็นปฐมบทของตำนานแห่งจอมโจรผู้ขโมยได้ทุกอย่างจึงได้เริ่มต้นขึ้น
จอมโจรยูเจนิดิส เป็นนวนิยายลำดับที่หนึ่งในเรื่องชุดจอมโจรยูเจนิดิส ที่ปัจจุบันตีพิมพ์ออกมาแล้วทั้งหมด 4 เล่ม อันได้แก่ จอมโจรยูเจนิดิส, ราชินีแห่งแอตโทเลีย, ราชันย์แห่งแอตโทเลีย และแผนสมคบคิดแห่งองค์ราชันย์ เรื่องราวใน จอมโจรยูเจนิดิส นั้นจะว่าด้วยการเดินทางของตัวละครเอกนามยูเจนิดิส ที่อวดอ้างว่าตนนั้นเป็นจอมโจรที่ขโมยได้ทุกอย่าง กับการตามหาสมบัติแห่งฮามิอาทิส ศิลาศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่เล่าขานกันมาว่าเป็นของกำนัลที่เหล่าปวงเทพมอบให้กับกษัตริย์แห่งเอ็ดดิส และเป็นเครื่องหมายอย่างเบ็ดเสร็จของผู้มีสิทธ์ครองบัลลังก์แห่งเอ็ดดิสอีกด้วย ด้วยกษัตริย์แห่งซูนิสผู้สั่งจองจำยูเจนิดิสไว้นั้นปรารถนาจะเป็นเจ้าปกครองเหนือเอ็ดดิส และเหนือคาบสมุทรที่ประเทศเหล่านั้นตั้งอยู่ด้วย ตลอดการเดินทางผู้อ่านจะค่อย ๆ ได้รับรู้ถึงปูมหลังของยูเจนิดิสและเหล่าผู้ร่วมทาง รวมไปถึงปูมหลังของโลกทัศน์ในเรื่องราวแห่งนี้ ทั้งตำนานการสร้างโลก การกำเนิดของมนุษย์ และกำเนิดของยูเจนิดิส เทพอุปถัมภ์แห่งปวงโจรซึ่งตัวเอกของเราได้รับการตั้งชื่อตามนามของเทพองค์นี้ นอกจากนั้นผู้อ่านยังจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศของโลกอันเป็นฉากหลังในเรื่องราว ที่ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจจากการไปเยือนกรีกและประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และได้นำมาถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะรู้สึกและสัมผัสได้ถึงสายลมที่โบกโชยอยู่ในดินแดงชายฝั่งทะเล สายแดดอันแรงกล้าที่กระตุ้นให้สรรพชีวิตทั้งปวงเจรญงอกงาม รวมไปถึงภาพและรสและกลิ่นของมะกอกสุกงอมกรุ่นกำจายอยู่รอบตัวขณะกำลังดื่มด่ำไปกับเรื่องราว ที่มีจุดพลิกผันหักมุมไม่คาดฝันปรากฏอยู่เนือง ๆ จนเมื่อถึงในบทสุดท้าย เมื่อความลับทั้งปวงได้รับการคลี่คลาย ผู้อ่านจะต้องตกตะลึงต่อความจริงที่ถูกเก็บงำไว้ตลอดเรื่องอย่างแน่นอน หนัสือชุดจอมโจรยูเจนิดิสนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สมควรแก่การทัศนา จดจำ และมีเอาไว้ประจำบ้านครับ

ยูเจนิดิส เด็กหนุ่มผู้ถูกตั้งชื่อตามนามของเทพแห่งโจร แน่นอนล่ะว่าเจ้าตัวก็ได้เป็นโจรตามชื่อของตน เด็กหนุ่มผู้โอ้อวดไว้ว่าตนนั้น “สามารถขโมยได้ทุกอย่าง” ได้เป็นที่ต้องตาของราชครูที่ปรึกษาของกษัตริย์แห่งซูนิส หนึ่งในอาณาจักรที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ด้วยองค์กษัตริย์แห่งซูนิสนั้นต้องการจะได้มาซึ่ง “ของขวัญแห่งฮามิอาทิส” ที่ซุกซ่อนอยู่ในแห่งใดแห่งหนึ่งของดินแดนนามแอตโทเลีย ประเทศข้างเคียงของซูนิส เพื่อยกตัวเองเป็นเจ้าปกครองเหนืออธิปไตยแห่งเอ็ดดิส อาณาจักรกลางขุนเขาที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านอีกแห่งหนึ่งของตน ตามตำนานที่สืบทอดกันมานั้นจำเป็นต้องอาศัยจอมโจรมากฝีมือจึงจะนำสมบัติแห่งอามิสเทริสออกมาจากการปกปักษ์ของเทพเจ้าได้ การเดินทางอันเป็นปฐมบทของตำนานแห่งจอมโจรผู้ขโมยได้ทุกอย่างจึงได้เริ่มต้นขึ้น
จอมโจรยูเจนิดิส เป็นนวนิยายลำดับที่หนึ่งในเรื่องชุดจอมโจรยูเจนิดิส ที่ปัจจุบันตีพิมพ์ออกมาแล้วทั้งหมด 4 เล่ม อันได้แก่ จอมโจรยูเจนิดิส, ราชินีแห่งแอตโทเลีย, ราชันย์แห่งแอตโทเลีย และแผนสมคบคิดแห่งองค์ราชันย์ เรื่องราวใน จอมโจรยูเจนิดิส นั้นจะว่าด้วยการเดินทางของตัวละครเอกนามยูเจนิดิส ที่อวดอ้างว่าตนนั้นเป็นจอมโจรที่ขโมยได้ทุกอย่าง กับการตามหาสมบัติแห่งฮามิอาทิส ศิลาศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่เล่าขานกันมาว่าเป็นของกำนัลที่เหล่าปวงเทพมอบให้กับกษัตริย์แห่งเอ็ดดิส และเป็นเครื่องหมายอย่างเบ็ดเสร็จของผู้มีสิทธ์ครองบัลลังก์แห่งเอ็ดดิสอีกด้วย ด้วยกษัตริย์แห่งซูนิสผู้สั่งจองจำยูเจนิดิสไว้นั้นปรารถนาจะเป็นเจ้าปกครองเหนือเอ็ดดิส และเหนือคาบสมุทรที่ประเทศเหล่านั้นตั้งอยู่ด้วย ตลอดการเดินทางผู้อ่านจะค่อย ๆ ได้รับรู้ถึงปูมหลังของยูเจนิดิสและเหล่าผู้ร่วมทาง รวมไปถึงปูมหลังของโลกทัศน์ในเรื่องราวแห่งนี้ ทั้งตำนานการสร้างโลก การกำเนิดของมนุษย์ และกำเนิดของยูเจนิดิส เทพอุปถัมภ์แห่งปวงโจรซึ่งตัวเอกของเราได้รับการตั้งชื่อตามนามของเทพองค์นี้ นอกจากนั้นผู้อ่านยังจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศของโลกอันเป็นฉากหลังในเรื่องราว ที่ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจจากการไปเยือนกรีกและประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และได้นำมาถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะรู้สึกและสัมผัสได้ถึงสายลมที่โบกโชยอยู่ในดินแดงชายฝั่งทะเล สายแดดอันแรงกล้าที่กระตุ้นให้สรรพชีวิตทั้งปวงเจรญงอกงาม รวมไปถึงภาพและรสและกลิ่นของมะกอกสุกงอมกรุ่นกำจายอยู่รอบตัวขณะกำลังดื่มด่ำไปกับเรื่องราว ที่มีจุดพลิกผันหักมุมไม่คาดฝันปรากฏอยู่เนือง ๆ จนเมื่อถึงในบทสุดท้าย เมื่อความลับทั้งปวงได้รับการคลี่คลาย ผู้อ่านจะต้องตกตะลึงต่อความจริงที่ถูกเก็บงำไว้ตลอดเรื่องอย่างแน่นอน หนัสือชุดจอมโจรยูเจนิดิสนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สมควรแก่การทัศนา จดจำ และมีเอาไว้ประจำบ้านครับ

ครั้งหนึ่งยังมีแม่ทัพปิศาจนามสปาดาร์ผู้รักมนุษย์ จอมทัพนายนี้ได้ก่อกบฏต่อเจ้าชายปิศาจผู้หมายจะยกกองทัพปิศาจออกมารุกรานโลกมนุษย์ และได้ปิดผนึกประตูทางเข้าโลกปิศาจเอาไว้ด้วยดาบมายา “ยามาโตะ” แม้จอมทัพจะขัดขวางแผนการยึดครองโลกมนุษย์ได้สำเร็จ ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ไม่สามารถเดินทางกลับโลกปิศาจอันเป็นบ้านเกิดของตนได้อีกต่อไป เหล่าผู้คนที่จอมทัพปิศาจได้ช่วยเหลือเอาไว้ต่างบูชาเขาประหนึ่งพระเจ้า แล้วได้คอยดูแลสถานที่ตั้งประตูสู่โลกปิศาจเอาไว้ มิให้ผู้ใดมาทำลายผนึกได้อีกต่อไป มาบัดนี้จอมทัพปิศาจผู้ชวยมนุษยชาติเอาไว้ได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงตำนานอันยิ่งใหญ่ของจอมดาบสปาดาร์ และบุตรชายผู้สืบทอดสายเลือดและปณิธานของตนเอาไว้เท่านั้น เป็นที่มาของตำนานชายผู้ทำให้เหล่าปิศาจต้องหลั่งน้ำตา... Devil May Cry
Devil May Cry เปิดตำนาน เดวิล เมย์ คราย เป็นหนังสือที่รวบรวมเนื้อเรื่องต่าง ๆ ทั้งหมดของซีรีย์ Davil May Cry ซึ่งเป็นกำเนิดมาในฐานะเกมจากบริษัท Capcom ของญี่ปุ่น ในหนังสือเล่มนี้สามารถแบ่งเนื้อหาออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้
ส่วนที่หนึ่ง จะเป็นส่วนที่ว่าด้วยเรื่องราวในจักรวาล Devil May Cry ทั้งเนื้อเรื่องปูมหลังก่อนที่จะถึงยุคสมัยที่ปรากฏในเกมส์ นั่นคือตำนานของสปาดาร์ การปิดผนึกประตูสู่โลกปิศาจ ก่อนที่เนื้อเรื่องจะเข้าสู่เรื่องราวของบุตรแห่งสปาดาร์ สองพี่น้องเวอร์จิลและดันเต้ ที่ทั้งสองต่างมีจุดมุ่งหมายและปณิธานที่ต่างกัน ด้วยเวอร์จิลต้องการจะเปิดประตูสู่โลกปิศาจ เพื่อจะได้เห็นโลกปิศาจบ้านเกิดของบิดาด้วยตาของตนเอง มีเพียงดันเต้ผุ้ร่วมสายเลือดเท่านั้นที่จะขัดขวางได้ เมื่อเวอร์จิลจากแล้ว จึงมีเพียงดันเต้เท่านั้ที่จะปกป้องโลกจากเหล่าปิศาจที่เล็ดลอดอกมาได้เป็นบางครั้ง ก่อนที่การเดินทางขิงดันเต้จะจบลง เมื่อปณิธานแห่งการปกป้องมวลมนุษย์ได้ถูกส่งผ่านสู่เนโร เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ไม่มีใครรู้ว่าใครคือบิดา มีเพียงรูปลักษณ์บางอย่างและความคุ้นเคยอย่างประหลาดที่มีต่อดันเต้เท่านั้นที่อาจสันนิษฐานได้ถึงสายสัมพันธ์ที่สืบต่อมาในสายเลือด
ส่วนที่สองจะเป็นรายละเอียดและที่มาของตัวละครต่าง ๆ ที่ปากฎในเกม รวมถึงเหล่าศัตรูและอุปกรณ์ต่าง ๆ ผู้อ่านจะได้ทราบถึงที่มาของนามดันเต้ เวอร์จิล เนโรและอื่น ๆ ว่าผู้สร้างนำรายชื่อเหล่านี้มาจากไหน และเหตุใดจึงได้ตรานามเหล่านี้ให้แก่ตัวละครตัวนั้น ๆ
ส่วนที่สามจะเป็นปกิณกะ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่พบในเกมและสื่ออื่น ๆ ในซีรีย์ Devil May Cry นี้ ผู้อ่านจะได้พบเบื้องหลังนักพากย์ผู้ให้เสียงและให้ชีวิตแก่เหล่าตัวละครต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมา
หนังสือนี้เหมาะสำหรับแฟนเกมซีรีย์ Devil May Cry ที่ต้องการจะล่วงรู้เบื้องลึกของจักรวาลแห่ง Devil May Cry และเรื่องราวที่มาและที่ไปของนักล่าปิศาจนามดันเต้ ที่ครั้งหนึ่งได้เคยประทับความประทับใจให้แก่ผู้คนทั่วโลกมาแล้วครับ

ครั้งหนึ่งยังมีแม่ทัพปิศาจนามสปาดาร์ผู้รักมนุษย์ จอมทัพนายนี้ได้ก่อกบฏต่อเจ้าชายปิศาจผู้หมายจะยกกองทัพปิศาจออกมารุกรานโลกมนุษย์ และได้ปิดผนึกประตูทางเข้าโลกปิศาจเอาไว้ด้วยดาบมายา “ยามาโตะ” แม้จอมทัพจะขัดขวางแผนการยึดครองโลกมนุษย์ได้สำเร็จ ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ไม่สามารถเดินทางกลับโลกปิศาจอันเป็นบ้านเกิดของตนได้อีกต่อไป เหล่าผู้คนที่จอมทัพปิศาจได้ช่วยเหลือเอาไว้ต่างบูชาเขาประหนึ่งพระเจ้า แล้วได้คอยดูแลสถานที่ตั้งประตูสู่โลกปิศาจเอาไว้ มิให้ผู้ใดมาทำลายผนึกได้อีกต่อไป มาบัดนี้จอมทัพปิศาจผู้ชวยมนุษยชาติเอาไว้ได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงตำนานอันยิ่งใหญ่ของจอมดาบสปาดาร์ และบุตรชายผู้สืบทอดสายเลือดและปณิธานของตนเอาไว้เท่านั้น เป็นที่มาของตำนานชายผู้ทำให้เหล่าปิศาจต้องหลั่งน้ำตา... Devil May Cry
Devil May Cry เปิดตำนาน เดวิล เมย์ คราย เป็นหนังสือที่รวบรวมเนื้อเรื่องต่าง ๆ ทั้งหมดของซีรีย์ Davil May Cry ซึ่งเป็นกำเนิดมาในฐานะเกมจากบริษัท Capcom ของญี่ปุ่น ในหนังสือเล่มนี้สามารถแบ่งเนื้อหาออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้
ส่วนที่หนึ่ง จะเป็นส่วนที่ว่าด้วยเรื่องราวในจักรวาล Devil May Cry ทั้งเนื้อเรื่องปูมหลังก่อนที่จะถึงยุคสมัยที่ปรากฏในเกมส์ นั่นคือตำนานของสปาดาร์ การปิดผนึกประตูสู่โลกปิศาจ ก่อนที่เนื้อเรื่องจะเข้าสู่เรื่องราวของบุตรแห่งสปาดาร์ สองพี่น้องเวอร์จิลและดันเต้ ที่ทั้งสองต่างมีจุดมุ่งหมายและปณิธานที่ต่างกัน ด้วยเวอร์จิลต้องการจะเปิดประตูสู่โลกปิศาจ เพื่อจะได้เห็นโลกปิศาจบ้านเกิดของบิดาด้วยตาของตนเอง มีเพียงดันเต้ผุ้ร่วมสายเลือดเท่านั้นที่จะขัดขวางได้ เมื่อเวอร์จิลจากแล้ว จึงมีเพียงดันเต้เท่านั้ที่จะปกป้องโลกจากเหล่าปิศาจที่เล็ดลอดอกมาได้เป็นบางครั้ง ก่อนที่การเดินทางขิงดันเต้จะจบลง เมื่อปณิธานแห่งการปกป้องมวลมนุษย์ได้ถูกส่งผ่านสู่เนโร เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ไม่มีใครรู้ว่าใครคือบิดา มีเพียงรูปลักษณ์บางอย่างและความคุ้นเคยอย่างประหลาดที่มีต่อดันเต้เท่านั้นที่อาจสันนิษฐานได้ถึงสายสัมพันธ์ที่สืบต่อมาในสายเลือด
ส่วนที่สองจะเป็นรายละเอียดและที่มาของตัวละครต่าง ๆ ที่ปากฎในเกม รวมถึงเหล่าศัตรูและอุปกรณ์ต่าง ๆ ผู้อ่านจะได้ทราบถึงที่มาของนามดันเต้ เวอร์จิล เนโรและอื่น ๆ ว่าผู้สร้างนำรายชื่อเหล่านี้มาจากไหน และเหตุใดจึงได้ตรานามเหล่านี้ให้แก่ตัวละครตัวนั้น ๆ
ส่วนที่สามจะเป็นปกิณกะ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่พบในเกมและสื่ออื่น ๆ ในซีรีย์ Devil May Cry นี้ ผู้อ่านจะได้พบเบื้องหลังนักพากย์ผู้ให้เสียงและให้ชีวิตแก่เหล่าตัวละครต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมา
หนังสือนี้เหมาะสำหรับแฟนเกมซีรีย์ Devil May Cry ที่ต้องการจะล่วงรู้เบื้องลึกของจักรวาลแห่ง Devil May Cry และเรื่องราวที่มาและที่ไปของนักล่าปิศาจนามดันเต้ ที่ครั้งหนึ่งได้เคยประทับความประทับใจให้แก่ผู้คนทั่วโลกมาแล้วครับ

คินดะอิจิ โคสุเกะยอดนักสืบกลับมาไขปริศนาคดีลึกลับชวนฉงนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เรื่องราวมิได้ถ่ายทอดผ่านทางตัวคินดะอิจิเอง แต่ได้ถ่ายทอดผ่านมุมมองของนักเขียนนวนิยายสืบสวนสอบสวนผู้หนึ่ง ซึ่งเข้ามามีส่วนพัวพันกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะพรึง ท่ามกลางเรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านปลายปากกาและน้ำหมึกของนักเขียนผู้อับโชค ความลึกลับดำมืดทั้งปวง ความวิปริตบ้าคลั่งของเหล่าผู้เกี่ยวข้องกับคดีพิศวง ทริคปริศนาชวนตะลึง รวมถึงบทสรุปของเรื่องราวทั้งปวงจะถูกถ่ายทอดออกมาให้ท่านได้รับ ณ บัดนี้
“อย่าออกมาเดินตอนกลางคืน” เป็นหนังสือลำดับที่ 8 ในซีรี่ย์คินดะอิจิยอดนักสืบที่จัดจำหน่ายในประเทศไทย ในครั้งนี้ผู้เขียนเลือกใช้วิธีการนำเสนอเรื่องราวที่ต่างไปจากเดิม กล่าวคือการดำเนินไปของเนื้อเรื่องนั้นมิได้เกิดจากการค่อย ๆ ไขปริศนาของคินดะอิจิ โคสุเกะอีกต่อไป ตรงกันข้าม เรื่องราวในครั้งน้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของหนึ่งในตัวละครที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง อันเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวในครั้งนี้ แน่นอนว่าผู้เขียนเคยได้ใช้ลักษณะการเล่าเรื่องเช่นนี้มาก่อน ดังปรากฏใน “หมู่บ้านแปดหลุมศพ” ที่เรื่องราวถูกเล่าผ่านตัวละครอื่น ๆ มิได้เน้นไปที่ตัวคินดะอิจิเป็นหลัก แต่ความแตกต่างระหว่าง “อย่าออกมาเดินตอนกลางคืน” กับ “หมู่บ้านแปดหลุมศพ” ที่เห็นได้ชัดคือ ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวในครั้งนี้นั้นเป็นผู้ที่พยายามสืบเสาะเพื่อหาเงื่อนงำไปสู่ความจริงของคดี มิได้เป็นเพียงผู้เอาชีวิตรอดจากแผนอำมหิตของฆาตกรร้ายดังใน “หมู่บ้านแปดหลุมศพ” ตลอดทางผู้อ่านจะได้สัมผัสความพยายามไล่ตามความจริงของคดีของตัวละครเอกที่มีแง่มุมแนวคิดต่างจากคินดะอิจิ โคสุเกะโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งว่านวนิยายเรื่องนี้ถูกประพันธ์โดยบุคคลผู้อื่น ที่มิใช่ผู้ประพันธ์ “คินดะอิจิยอดนักสืบ” เล่มอื่น ๆ เพียงเท่านี้ก็เป็นหลักฐานประจักษ์ถึงความสามารถของผู้แต่งในการล่อลวงให้ผู้อ่านดำดิ่งสู่ทะเลแห่งเรื่องราวและตัวอักษรได้เป็นอย่างดียิ่งแล้ว
ดังเช่นเรื่องราวอื่น ๆ ในซีรีย์คินดะอิจิยอดนักสืบ “อย่าออกมาเดินตอนกลางคืน” เต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงเสียดสีสังคมญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ศีลธรรมจรรยาอันงามตั้งถูกเตะทิ้งไปเพื่อเอาชีวิตและปากท้องให้รอดไปก่อน ผู้เขียนได้สร้างตัวละครที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของศีลธรรม ทั้งการดูถูกถะถางเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้เสื่อมเกียรติ ทั้งการยอมรับคำดูถูกนั้นดังน้ำรสขมเพียงเพื่อจะได้มีชีวิตรอดต่อไปในวันรุ่ง การกดขี่ผู้น้อยโดยผู้ใหญ่ การฝ่าม่านจารีต การคบชู้และสมสู่ส่ำส่อนมิต่างไปจากเดรัจฉานอื่น ๆ เหล่านี้ยิ่งทำให้ตัวละครทั้งปวงในเรื่องราวมีชีวิตและมีตัวตนขึ้นมา ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่เรียงร้อยอยู่ในหน้ากระดาษอีกต่อไป คำชมมากเพียงใดก็มิอาจเทียบได้กับการสัมผัสด้วยประสบการณ์ของคุณเอง อ่านเพียงหน้าเดียว คุณก็อาจจะไม่สามารถออกมาเดินคนเดียวตอนกลางคืนได้อีกต่อไป

คินดะอิจิ โคสุเกะยอดนักสืบกลับมาไขปริศนาคดีลึกลับชวนฉงนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เรื่องราวมิได้ถ่ายทอดผ่านทางตัวคินดะอิจิเอง แต่ได้ถ่ายทอดผ่านมุมมองของนักเขียนนวนิยายสืบสวนสอบสวนผู้หนึ่ง ซึ่งเข้ามามีส่วนพัวพันกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะพรึง ท่ามกลางเรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านปลายปากกาและน้ำหมึกของนักเขียนผู้อับโชค ความลึกลับดำมืดทั้งปวง ความวิปริตบ้าคลั่งของเหล่าผู้เกี่ยวข้องกับคดีพิศวง ทริคปริศนาชวนตะลึง รวมถึงบทสรุปของเรื่องราวทั้งปวงจะถูกถ่ายทอดออกมาให้ท่านได้รับ ณ บัดนี้
“อย่าออกมาเดินตอนกลางคืน” เป็นหนังสือลำดับที่ 8 ในซีรี่ย์คินดะอิจิยอดนักสืบที่จัดจำหน่ายในประเทศไทย ในครั้งนี้ผู้เขียนเลือกใช้วิธีการนำเสนอเรื่องราวที่ต่างไปจากเดิม กล่าวคือการดำเนินไปของเนื้อเรื่องนั้นมิได้เกิดจากการค่อย ๆ ไขปริศนาของคินดะอิจิ โคสุเกะอีกต่อไป ตรงกันข้าม เรื่องราวในครั้งน้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของหนึ่งในตัวละครที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง อันเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวในครั้งนี้ แน่นอนว่าผู้เขียนเคยได้ใช้ลักษณะการเล่าเรื่องเช่นนี้มาก่อน ดังปรากฏใน “หมู่บ้านแปดหลุมศพ” ที่เรื่องราวถูกเล่าผ่านตัวละครอื่น ๆ มิได้เน้นไปที่ตัวคินดะอิจิเป็นหลัก แต่ความแตกต่างระหว่าง “อย่าออกมาเดินตอนกลางคืน” กับ “หมู่บ้านแปดหลุมศพ” ที่เห็นได้ชัดคือ ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวในครั้งนี้นั้นเป็นผู้ที่พยายามสืบเสาะเพื่อหาเงื่อนงำไปสู่ความจริงของคดี มิได้เป็นเพียงผู้เอาชีวิตรอดจากแผนอำมหิตของฆาตกรร้ายดังใน “หมู่บ้านแปดหลุมศพ” ตลอดทางผู้อ่านจะได้สัมผัสความพยายามไล่ตามความจริงของคดีของตัวละครเอกที่มีแง่มุมแนวคิดต่างจากคินดะอิจิ โคสุเกะโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งว่านวนิยายเรื่องนี้ถูกประพันธ์โดยบุคคลผู้อื่น ที่มิใช่ผู้ประพันธ์ “คินดะอิจิยอดนักสืบ” เล่มอื่น ๆ เพียงเท่านี้ก็เป็นหลักฐานประจักษ์ถึงความสามารถของผู้แต่งในการล่อลวงให้ผู้อ่านดำดิ่งสู่ทะเลแห่งเรื่องราวและตัวอักษรได้เป็นอย่างดียิ่งแล้ว
ดังเช่นเรื่องราวอื่น ๆ ในซีรีย์คินดะอิจิยอดนักสืบ “อย่าออกมาเดินตอนกลางคืน” เต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงเสียดสีสังคมญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ศีลธรรมจรรยาอันงามตั้งถูกเตะทิ้งไปเพื่อเอาชีวิตและปากท้องให้รอดไปก่อน ผู้เขียนได้สร้างตัวละครที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของศีลธรรม ทั้งการดูถูกถะถางเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้เสื่อมเกียรติ ทั้งการยอมรับคำดูถูกนั้นดังน้ำรสขมเพียงเพื่อจะได้มีชีวิตรอดต่อไปในวันรุ่ง การกดขี่ผู้น้อยโดยผู้ใหญ่ การฝ่าม่านจารีต การคบชู้และสมสู่ส่ำส่อนมิต่างไปจากเดรัจฉานอื่น ๆ เหล่านี้ยิ่งทำให้ตัวละครทั้งปวงในเรื่องราวมีชีวิตและมีตัวตนขึ้นมา ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่เรียงร้อยอยู่ในหน้ากระดาษอีกต่อไป คำชมมากเพียงใดก็มิอาจเทียบได้กับการสัมผัสด้วยประสบการณ์ของคุณเอง อ่านเพียงหน้าเดียว คุณก็อาจจะไม่สามารถออกมาเดินคนเดียวตอนกลางคืนได้อีกต่อไป

หากเอ่ยถึงตัวละครนักสืบในนวนิยายสืบสวนสอบสวนของญี่ปุ่นแล้ว ชื่อของคินดะอิจิ โคสุกะย่อมเป็นหนึ่งในชื่อที่หลาย ๆ คนนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ความโด่งดังของคินดะอิจิ โคสุเกะนั้นถึงขนาดมีนักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่นได้นำมาสร้างตัวละครนามคินดะอิจิ ฮาจิเมะ โดยมีความสัมพันธ์เป็นหลานของยอดนักสืบระบือนามผู้นี้ คินดะอิจิผู้หลานนี้ก็ได้วาดลวดลายคลี่คลายคดีพิศวงจำนวนไม่น้อย จนเป็นที่รู้จักของนักอ่านชาวไทยจำนวนไม่น้อย ส่วนในรายของคินดะอิจิผู้ปู่นั้นนักอ่านชาวไทยอาจจะยังไม่รู้จักเท่าคนเป็นหลานเท่าใด ถึงแม้คดีที่คินดะอิจิ โคสุเกะต้องเผชิญด้วยนั้นจะเปี่ยมด้วยปริศนาพิสดารต่าง ๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นหลาน อาจจะยิ่งลึกลับกว่าเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากนี่คือต้นตำรับของยอดนักสืบคินดะอิจิผู้สร้างความพิศวงให้แก่นักอ่านชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยมาแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
คดีฆาตกรรมบนเกาะโกะกุมน เป็นหนังสือลำดับที่ 5 ในซีรีย์คินดะอิจิยอดนักสืบที่จัดจำหน่ายในไทย (แน่นอนว่าลำดับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับลำดับการออกจำหน่ายในญี่ปุ่น) ในครั้งนี้เพื่อทำตามคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของสหายร่วมสนามรบ คินดะอิจิจึงต้องเดินทางไปยังเกาะโกะกุมน เกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลอันมีชื่ออันไม่เป็นมงคลนักอันแปลได้ว่า “เกาะประตูคุก” เกาะซึ่งเล่าสืบต่อกันมาว่าประชาชนบนเกาะนั้นสืบเชื้อสายมาจากเหล่าโจรสลัดและนักโทษเนรเทศในสมัยโบราณ จากคำร่ำลือผนวกกับที่ตั้งของเกาะ ผู้คนบนเกาะจึงมีความแปลกแยกและไม่ต้อนรับคนนอกเกาะ บนเกาะโกะกุมนนี้เองที่คินดะอิจินักสืบระบือนามต้องประสบกับคดีฆาตกรรมสุดพิสดารดุจดังภาพฝันอันวิปลาสของภูตผีปีศาจร้าย ความลับมืดดำในอดีต และบทสรุปอันสุดประหวั่นพรั่นพรึงจนยากจะคาดเดาได้ถึง
ตลอดเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะได้เดินทางไปยังแผ่นดินญี่ปุ่นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้อ่านจะได้พบกับภาพของประเทศที่พ่ายแพ้สงคราม ส่งผลให้ทุกคนที่เหลือรอดต้องประสบกับความทุกขเวทนา จนต้องเผยความเถื่อนทมิฬที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกมา ผู้เขียนได้แสดงภาพของสังคมที่ความดีงามได้เสื่อมสลายเนื่องจากผลพวงของสงคราม ศีลธรรมจรรยาต่าง ๆ ได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความจำเป็น ผู้ที่ยังกกกอดมันเอาไว้อาจจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ ตลอดจนสภาพสังคมอื่น ๆ ของญี่ปุ่น ณ ช่วงขณะนั้น ธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่สอดแทรกเข้ามา รวมถึงบทกวีไฮกุที่เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญของคดีพิสดารในครั้งนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คดีฆาตกรรมบนเกาะโกะกุมน อันนี้ได้ถูกกล่าวขานถึงในแง่ของความวิจริตพิสดาร และได้ถูกหยิบยกมากล่าวถึงในคดีอื่น ๆ ที่คินดะอิจิ โคสุเกะต้องไปมีส่วนรวม ในแง่ของคดีอ้างอิงถึงฝีมือของนักสืบระบือนามผู้นี้ และคุณล่ะ พร้อมที่จะก้าวเข้ามาร่วมชื่นชมความวิจริตวิปลาสอันนี้แล้วหรือยัง?

หากเอ่ยถึงตัวละครนักสืบในนวนิยายสืบสวนสอบสวนของญี่ปุ่นแล้ว ชื่อของคินดะอิจิ โคสุกะย่อมเป็นหนึ่งในชื่อที่หลาย ๆ คนนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ความโด่งดังของคินดะอิจิ โคสุเกะนั้นถึงขนาดมีนักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่นได้นำมาสร้างตัวละครนามคินดะอิจิ ฮาจิเมะ โดยมีความสัมพันธ์เป็นหลานของยอดนักสืบระบือนามผู้นี้ คินดะอิจิผู้หลานนี้ก็ได้วาดลวดลายคลี่คลายคดีพิศวงจำนวนไม่น้อย จนเป็นที่รู้จักของนักอ่านชาวไทยจำนวนไม่น้อย ส่วนในรายของคินดะอิจิผู้ปู่นั้นนักอ่านชาวไทยอาจจะยังไม่รู้จักเท่าคนเป็นหลานเท่าใด ถึงแม้คดีที่คินดะอิจิ โคสุเกะต้องเผชิญด้วยนั้นจะเปี่ยมด้วยปริศนาพิสดารต่าง ๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นหลาน อาจจะยิ่งลึกลับกว่าเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากนี่คือต้นตำรับของยอดนักสืบคินดะอิจิผู้สร้างความพิศวงให้แก่นักอ่านชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยมาแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
คดีฆาตกรรมบนเกาะโกะกุมน เป็นหนังสือลำดับที่ 5 ในซีรีย์คินดะอิจิยอดนักสืบที่จัดจำหน่ายในไทย (แน่นอนว่าลำดับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับลำดับการออกจำหน่ายในญี่ปุ่น) ในครั้งนี้เพื่อทำตามคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของสหายร่วมสนามรบ คินดะอิจิจึงต้องเดินทางไปยังเกาะโกะกุมน เกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลอันมีชื่ออันไม่เป็นมงคลนักอันแปลได้ว่า “เกาะประตูคุก” เกาะซึ่งเล่าสืบต่อกันมาว่าประชาชนบนเกาะนั้นสืบเชื้อสายมาจากเหล่าโจรสลัดและนักโทษเนรเทศในสมัยโบราณ จากคำร่ำลือผนวกกับที่ตั้งของเกาะ ผู้คนบนเกาะจึงมีความแปลกแยกและไม่ต้อนรับคนนอกเกาะ บนเกาะโกะกุมนนี้เองที่คินดะอิจินักสืบระบือนามต้องประสบกับคดีฆาตกรรมสุดพิสดารดุจดังภาพฝันอันวิปลาสของภูตผีปีศาจร้าย ความลับมืดดำในอดีต และบทสรุปอันสุดประหวั่นพรั่นพรึงจนยากจะคาดเดาได้ถึง
ตลอดเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะได้เดินทางไปยังแผ่นดินญี่ปุ่นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้อ่านจะได้พบกับภาพของประเทศที่พ่ายแพ้สงคราม ส่งผลให้ทุกคนที่เหลือรอดต้องประสบกับความทุกขเวทนา จนต้องเผยความเถื่อนทมิฬที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกมา ผู้เขียนได้แสดงภาพของสังคมที่ความดีงามได้เสื่อมสลายเนื่องจากผลพวงของสงคราม ศีลธรรมจรรยาต่าง ๆ ได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความจำเป็น ผู้ที่ยังกกกอดมันเอาไว้อาจจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ ตลอดจนสภาพสังคมอื่น ๆ ของญี่ปุ่น ณ ช่วงขณะนั้น ธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่สอดแทรกเข้ามา รวมถึงบทกวีไฮกุที่เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญของคดีพิสดารในครั้งนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คดีฆาตกรรมบนเกาะโกะกุมน อันนี้ได้ถูกกล่าวขานถึงในแง่ของความวิจริตพิสดาร และได้ถูกหยิบยกมากล่าวถึงในคดีอื่น ๆ ที่คินดะอิจิ โคสุเกะต้องไปมีส่วนรวม ในแง่ของคดีอ้างอิงถึงฝีมือของนักสืบระบือนามผู้นี้ และคุณล่ะ พร้อมที่จะก้าวเข้ามาร่วมชื่นชมความวิจริตวิปลาสอันนี้แล้วหรือยัง?